ผู้เขียน: admin

  • ดำน้ำเคียงข้าง “ฉลามวาฬ”

    ฉลามวาฬ หมู่เกาะง่าม อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร

    หมู่เกาะง่าม อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร อำเภอเมืองฯ จังหวัดชุมพร

    สำหรับนักดำน้ำ ร้อยทั้งร้อยต่างเฝ้าคอยที่จะได้ดำดิ่งเคียงข้าง ฉลามวาฬ ฉลามที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยความยาวจากหัวจดหาง 4-14 เมตร จึงได้ชื่อว่าเป็นยักษ์ใหญ่ใจดี แม้จะถูกจัดอยู่ในกลุ่มปลา กระดูกอ่อนเช่นเดียวกับฉลาม แต่ฉลามวาฬนั้นอยู่คนละสกุลกับ นักล่าจอมปราดเปรียว เพราะมันจะว่ายน้ำอ้าปากแบนกว้างกว่าเมตร เพื่อดักกินแพลงก์ตอนและสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่ลอยอยู่ในน้ำเท่านั้น บริเวณท้องทะเลไทยที่พบฉลามวาฬได้บ่อยๆ คือ ทะเลชุมพร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…หมู่เกาะง่าม ที่ซึ่งนักดำน้ำมากมายได้ว่ายเคียงคู่ ไปกับเจ้ายักษ์ใหญ่ใจดีมาแล้วอย่างน่าจดจำ

    ช่วงเวลาที่ดีที่สุด: เดือนสิงหาคม-ตุลาคม เป็นช่วงเวลาที่ทะเลอ่าวไทย ปราศจากคลื่นลมมรสุม และมีโอกาสพบฉลามวาฬมากที่สุดในช่วงนี้


  • ‘ใบไม้สีทอง’ ที่น้ำตกบาโจ

    ใบไม้สีทอง น้ำตกบาโจ

    น้ำตกบาโจ อุทยานแห่งชาติบูโด-สุไหงปาดี อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส

    คุณอาจเคยเห็น ‘ใบไม้สีทอง’ หรือ ‘ย่านดาโอ๊ะ’ ใน หน้านิตยสารท่องเที่ยวหรือประดับอยู่ในกรอบตามร้าน ขายของที่ระลึก แต่เชื่อเถอะว่า ความงามที่แท้จริงนั้น จะปรากฏชัดกว่าเมื่อได้ไปเห็นใบไม้รูปร่างคล้ายหัวใจ ที่มีขนอ่อนนุ่มราวกำมะหยี่ปกคลุม ณ แหล่งธรรมชาติ อันเป็นถิ่นที่อยู่ของมัน แหล่งธรรมชาติที่เข้าถึงได้ง่าย และสะดวกที่สุดสำหรับการเข้าไปชมใบไม้สีทองคือ น้ำตกบาโจ ที่ซึ่งพรรณไม้เถาเลื้อยชนิดพิเศษนี้ใช้ชีวิต อิงอยู่กับไม้ใหญ่ตามที่โล่งริมลำธาร นอกจากได้เห็น ใบไม้สีทองมลังเมลืองสะท้อนแดดแล้ว ยังได้เที่ยวน้ำตก เป็นการคลายร้อนไปพร้อมๆ กันอีกด้วย

    ช่วงเวลาที่ดีที่สุด: ปลายเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน เป็นช่วงที่ใบไม้กลายเป็นสีทองโดดเด่นสะดุดตา

  • ไปยลสุดยอดป่า ‘พรุโต๊ะแดง’

    ป่าพรุโต๊ะแดง ศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติป่าพรุสิรินธร

     

    ศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติป่าพรุสิรินธร อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส

    อีกวิธีหลีกหนีความสับสนวุ่นวายสำหรับคนที่อยู่ ในเมืองซึ่งมีตึกใหญ่เรียงราย คือการไปสัมผัส ธรรมชาติในดินแดนเงียบสงบ ซึ่งมีแหล่งหนึ่ง ที่น่าสนใจคือ พรุโต๊ะแดง ป่าไม่ผลัดใบสุดพิเศษ แตกต่างจากป่าไม่ผลัดใบประเภทอื่นๆ เพราะ ป่าพรุที่พบในบริเวณที่ลุ่มต่ำหรือแอ่งที่มีน้ำจืดไหล เอื่อยเรื่อยรินผ่านตลอดเวลาเช่นนี้นั้นมีอยู่ไม่มากนัก ในเมืองไทย โดยพรุโต๊ะแดง เป็นป่าพรุแห่งสุดท้าย ของเมืองไทยและเป็นป่าพรุที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุดใน ภาคใต้ เนื่องด้วยมีการจัดทำเส้นทางเป็นสะพานไม้ เหนือพื้นดินอันเป็นหยุ่นตม ทอดยาวคดโค้งผ่านดง พืชพรรณเขียวครึ้ม ซึ่งมีแสงแดดส่องลอดลงมา เพียงรำไร และมีป้ายให้ข้อมูลเกี่ยวกับพรรณไม้ เช่น หลุมพี หมากแดง กะพ้อ ปาหนันช้าง ฯลฯ รวมทั้งมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของสรรพชีวิตในป่าพรุ ให้อ่านอย่างเพลินใจจนครบวงรอบเส้นทางเดิน ระยะทาง 1,200 เมตร

    ช่วงเวลาที่ดีที่สุด: เดินชมความเขียวครึ้มสมบูรณ์ของ พรุโต๊ะแดงได้สะดวกสบายที่สุดในช่วงเดือน กุมภาพันธ์-เมษายน เพราะเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีฝน


  • ตามหานกเงือก ในป่าปลายขวานทอง

    เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ฮาลา- บาลา

    เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลา-บาลา อำเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส

    สำหรับนักแรมทางธรรมชาติแล้ว ป่าดิบชื้นแน่นทึบในแผ่นดินปลายขวานทอง ซึ่งอยู่ในเขตจังหวัดยะลาและนราธิวาส(พื้นที่ไม่ได้ยาวต่อเนื่องกัน) ที่ได้รับประกาศจัดตั้งให้เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลา-บาลา คือผืนป่าที่พวกเขารู้ว่ามากมายไปด้วยสรรพชีวิตที่น่าสนใจ แต่สำหรับการเดินทางไปเยือนนั้น สามารถเข้าไปได้เฉพาะในส่วนของป่าบาลา จังหวัดนราธิวาส เท่านั้น เส้นทางเดินป่าศึกษาธรรมชาติระยะสั้นใกล้กับหน่วยพิทักษ์ป่า ภูเขาทอง ซึ่งเป็นหน่วยย่อยของเขตฯ อุดมสมบูรณ์ไปด้วยต้นไม้ใหญ่ที่เรือนยอดแน่นทึบอยู่ชิดติดกัน มองเผินๆ คล้ายดอกกะหล่ำที่เบียดแน่นเป็นช่ออวบ ในเส้นทางเดินนี้ นอกจากพรรณไม้ใหญ่ เช่น ต้นสมพง ต้นยวน ต้นสยา ฯลฯ แล้ว ยังมีโอกาสได้เห็นนกเงือกซึ่งมักทำรังอยู่บนต้นสยา การตามหานกเงือกในป่าผืนนี้นับว่าไม่เป็นเรื่องยากจนเกินไป เพราะในป่าบาลามีนกหายากชนิดนี้อาศัยอยู่ถึง 9 จาก 12 ชนิดของนกเงือกที่พบในเมืองไทย เช่น นกเงือกหัวแรด นกเงือกหัวหงอก นกเงือกกรามช้าง เป็นต้น

    ช่วงเวลาที่ดีที่สุด: เดินป่าตามหานกเงือกได้สะดวกที่สุดในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน


  • ล่องแก่ง ‘เจ็ดคต’ เจ็ดโค้ง

    ถ้ำเจ็ดคต จ.สตูล

    ถ้ำเจ็ดคต อำเภอมะนัง จังหวัดสตูล

    เพลินใจไปกับการล่องแก่งผ่านธารน้ำใสที่ขนาบด้วยป่าดิบร่มรื่น แล้วเปลี่ยนอิริยาบถไปเดินเข้าปากถ้ำเจ็ดคต เพื่อล่องเรือคายักลัดเลาะคดโค้งผ่านโพรงถ้ำมืดที่มีเจ็ดโค้งอันเป็นที่มาของชื่อเจ็ดคต ตลอดระยะทางประมาณ 700 เมตรในโพรงถ้ำที่มีสายลมพัดผ่านเย็นสบาย นักท่องเที่ยวจะได้ชมหินงอก หินย้อย และประติมากรรมแห่งโถงถ้ำอย่างเพลิดเพลิน ก่อนโผล่พ้นโพรงถ้ำออกไปพบแสงสว่างและป่าดิบเขียวสด แล้วล่องคายักต่อไปเหนือผืนน้ำตื้นใสที่มองเห็นปลาเล็กปลาน้อยแหวกว่ายไปมา ซึ่งเวลาของการล่องแก่งรวม 2 ชั่วโมง กับระยะทางประมาณ 7 กิโลเมตร จะผ่านไปไวเหมือนโกหกเลยทีเดียว

    ช่วงเวลาที่ดีที่สุด: เดือนพฤศจิกายนไปจนถึงกลางเดือนเมษายน อากาศแจ่มใส เหมาะกับการพายคายัก ควรหลีกเลี่ยงช่วงเทศกาลสงกรานต์เพราะนักท่องเที่ยวเยอะมาก